วิธีฝากซื้ออาหารเสริม ,อาหาร ,เครื่องสำอาง ,เครื่องมือ


 

***ลิงค์ที่คุณได้อ่านในหน้านี้ ถือเป็นความลับนะคะ ไม่สามารถเปิดเผยทางหน้าเวบหลักได้ เพราะมันเกี่ยวเนื่องกับการปฏิบัติหน้าที่ของทางศุลกากรเขา จึงต้องส่งลิงค์ทางเมลล์ให้คุณมาแอบอ่านกันน่ะค่ะ ขออภัยในความไม่สะดวกด้วยค่ะ   และภาพเอกสาร ,ภาพหน้าเวบการขายสินค้า และทุกๆภาพที่ปรากฏในหน้านี้ มาจากเหตุการณ์จริงทั้งหมดนะคะ ไม่ใช่การสมมติขึ้นแต่อย่างใดเลยค่ะ ***

               ก่อนอื่นต้องขอเกริ่นนำสักเล็กน้อยนะคะ ว่าบทความในหน้านี้ อาจทำให้คนอ่านตาลายและเครียดได้ เพราะมันมีส่วนประกอบหลายตัวเข้ามาพัวพันกันหมด ถือว่าอ่านเพื่อความรู้เอาแล้วกันนะคะ เวลาที่คุณลูกค้าใช้บริการฝากซื้อสินค้าจากดิฉัน ปัญหาข้างล่างนี้ทั้งหมด ดิฉันสามารถจัดการได้หมดแล้วน่ะค่ะ  แต่กว่าจะได้ประสบการณ์ตรงนี้มาก็เสียเหงื่อ เสียเงิน ไปมากมายทีเดียว ก็เลยเอามาให้อ่านดูค่ะ

               เรามาเริ่มต้นกันก่อนเลยค่ะว่า สินค้าหมวดอาหารเสริม ,อาหาร ,เครื่องสำอาง ,อุปกรณ์เครื่องมือ (ไม่ได้ระบุว่าเป็นเครื่องมืออะไร) อยู่ในระเบียบที่กรมศุลกากรบอกไว้ว่า "ห้ามนำเข้า" จึงเป็นเหตุให้มีการลักลอบ "หิ้ว" ของเหล่านี้เข้ามาขาย  ถ้าคนหิ้วมีคุณธรรมก็ไม่เป็นไร  แต่ถ้าไปเอาของปลอมเข้ามาขาย เราก็ไม่มีทางล่วงรู้ได้เลย  ดังนั้น วิธีที่แน่นอนที่สุดคือ ให้คุณลูกค้าเป็นผู้ออกหาซื้อด้วยตัวเองเลย แล้วให้เวบ www.tuvagroup.com ของดิฉัน ตามไปอำนวยความสะดวกให้ในเรื่องการโอนเงิน และคอยให้คำปรึกษาอยู่ใกล้ๆ โดยคิดค่าบริการที่แสนถูก   ดีกว่าคุณทำเองเพื่อประหยัดค่าบริการ แต่พลาดท่าโดนฝรั่งคนขายหลอกบ้าง ,โดนศุลกากรยึดของบ้าง  สู้ให้คนที่มีประสบการณ์อย่างดิฉันทำหน้าที่ให้คำปรึกษา แล้วคุณเอาเวลาที่จะนั่งเครียด เอาไปทำอย่างอื่นดีกว่าค่ะ

               ในบทความนี้ ดิฉันจะพูดถึงหัวข้อหลักๆ 2 หัวข้อคือ 1.การโดนยึด และวิธีหลีกเลี่ยง 2.ขั้นตอนการฝากซื้อทั่วไปนะคะ โดยจะขอพูดถึง "อาหารเสริม" เป็นตัวเดินเรื่อง ส่วน ยา ,เครื่องสำอาง ก็ใช้หลักการเดียวกันนี่แหละค่ะ

ก.การโดนยึดและวิธีหลีกเลี่ยง

               แม้ว่าตามระเบียบ จะห้ามนำเข้า  แต่ในทางปฏิบัติแล้ว  ศุลกากรจะไม่ยึดสินค้าเหล่านี้ ส่วนมากก็จะให้เสียภาษีแล้วก็รับของกลับบ้านไป ไม่มีอะไร เว้นแต่ว่า คุณนำเข้ามาเพื่อขาย! แล้วอย่างไรคือเรียกว่านำเข้ามาขายล่ะ  คำตอบก็คือคุณใช้สินค้านั้นคนเดียว หมดภายใน 1 เดือนหรือเปล่า? ดิฉันเคยแก้ตัวไปว่า คนในบ้านก็ใช้ด้วยกัน 4 คนซึ่งก็หมดภายใน 1 เดือนค่ะ  แต่ปรากฏว่าเขาไม่ฟัง เขาถือหลักว่าเฉพาะคนซื้อที่ระบุหน้ากล่องคนเดียวเท่านั้น ละข้างล่างนี่คือประสบการณ์จริงของดิฉัน

               1.สั่ง 6 ขวด (น้ำหนักรวมกันแค่ 1.2 กิโลกรัม)


                            ดิฉันเห็นว่าอาหารเสริมยี่ห้อ อะมิโน 10000 ที่ต่างประเทศนั้นราคาถูกดี เลยคิดว่าน่าจะลองซื้อมาใช้ดูบ้าง และก็มาคิดว่าถ้าสั่งซื้อ 3 ขวดก็ไม่คุ้มค่าส่ง เลยลองสั่งไป 6 ขวดดู (ตามภาพข้างบน) ซึ่งน้ำหนักรวมกันก็แค่ 1.2 กิโลกรัม ไม่น่ามีปัญหาอะไร น่าจะผ่านศุลกากร  ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นานก็มีเอกสารข้างล่างนี้มาหาดิฉัน


                            ค่ะ มันคือเอกสารที่แจ้งว่าดิฉันต้องไปติดต่อที่ด่านศุลกากร แต่ตอนนั้นก็คิดในใจว่า พึ่งโดนครั้งนี้ครั้งแรก เจ้าหน้าที่เขาคงตักเตือนเฉยๆ แต่ปรากฏว่า....

โดนสอบสวนและโดนยึดสินค้าไป 4 ขวด (ได้คืนมา 2 ขวด)


                            ความลำบากที่ดิฉันต้องโดนดำเนินการเกี่ยวกับเรื่องนี้นั้น ดิฉันได้เล่าโดยละเอียดแล้วในหัวข้ออื่น (ถ้าอยากอ่าน คลิ๊กที่นี่ค่ะ) เจ้าหน้าที่ผู้สอบสวนยังให้ดิฉันบันทึกคำรับสารภาพไว้ในเอกสารว่า "ครั้งนี้เป็นครั้งสุดท้ายที่จะนำสินค้าตัวนี้เข้ามา จะไม่มีครั้งหน้าอีก ในครั้งนี้ขอรับการว่ากล่าวตักเตือน"  ดังนั้น ในส่วนนี้สรุปไว้เลยว่า เมื่อพูดถึงจำนวนขวดแล้ว ควรฝากซื้อแค่ครั้งละ 3 ขวดจะปลอดภัยจากการถูกดำเนินพิธีทางศุลกากรที่สุด (ถ้าเป็นเครื่องสำอาง ก็อยู่ในปริมาณที่ใช้ 1เดือนครึ่งถึง 2 เดือนโดยตัวเราเองคนเดียวแล้วหมดน่ะค่ะ)

               2.น้ำหนักรวม 4 กก.(สั่งแค่ 2 ขวด ขวดละ 2 กก.)


                            หลังจากที่โดนเล่นงานมาแล้วตามข้างบน ดิฉันก็ได้ความรู้ว่า ไม่ควรสั่งเกินครั้งละ 3 ขวด ต่อมา ดิฉันต้องการสินค้าเวย์โปรตีน และก็ไม่กล้าสั่งมาก จึงสั่งมาแค่ 2 ขวด โดยน้ำหนักตกขวดละ 4 ปอนด์ หรือ 1.8 กิโลกรัม (ตามภาพข้างบน) จากนั้นดิฉันก็รอรับของ และคิดว่าไม่น่ามีปัญหาอะไร น่าจะผ่านศุลกากร เพราะเราสั่งแค่ 2 ขวดเอง ไม่ใช่ 6 ขวดเหมือนครั้งแรก  ปรากฏว่าหลังจากนั้นไม่นานก็มีเจ้าหน้าที่ติดต่อมา บอกดิฉันว่าสินค้าตัวนี้ ติดอยู่ที่ด่านศุลกากรสุวรรณภูมิ และต้องมาดำเนินพิธีทางศุลกากร (อีกแล้ว)  ดิฉันบอกว่าไม่อยากขับรถไปสนามบินสุวรรณภูมิ บริษัทฯจึงเสนอบริการพิเศษให้นั่นคือบริการช่วยเคลียร์สินค้าออกให้ แต่ต้องมีค่าใช้จ่าย แล้วเขาก็แฟ็กซ์เอกสารข้างล่างนี้มาให้


 

ถ้าไม่ไปด่านเอง ก็ต้องจ้างคนอื่นไป


                            ค่าใช้จ่ายในการจ้างคนอื่นดำเนินการแทนนั้น เริ่มต้นที่ 1,284 บาท (ไม่รวมภาษี) และค่าโกดังอีกวันละ 68 บาท (ดูในข้อ 2 ภาพบน) แต่เขาก็รับปากว่าเมื่อดำเนินการแล้ว จะได้ของมาครบ ไม่โดนยึดเหมือนตอนที่ดิฉันไปด้วยตัวเอง เขาพูดตรงๆด้วยว่าเงินที่ได้นี้ จะต้องไปเสีย "ใต้โต๊ะ" ให้เจ้าหน้าที่ เพื่อจะนำของออกมาได้ (กรณีเรื่องน้ำหนักนี้ คงไม่มีผลต่อเครื่องสำอางหรอกค่ะ เพราะเครื่องสำอางจะน้ำหนักเบา)
 

ค่าใช้จ่ายที่ดิฉันโดนเรียกเก็บทั้งหมดคือ 2,601.70 บาท เขาเอาแค่ 2,601 บาท (ใจดีจังลดให้ 70 สตางค์)


 

(ภาพบน)ได้รับของแล้ว ดิฉันก็รีบดูใบเสร็จทันที แต่ปรากฏว่า...
(พวกนี้เขารับเงินสดที่บ้านนะคะ ไม่ให้โอนทางธนาคาร เพื่อปกปิดหลักฐาน)

 

ใบเสร็จมีแค่ 344 บาท อ้าว! แล้วอีก 2,601 - 344 = 2,257 บาทน่ะ ใบเสร็จทำไม่มีล่ะ! หมายความว่ายังไง!


                            นายหน้าพวกนี้ เขามีประสบการณ์ ดังนั้น ในขั้นตอนการจะเอาของออก เขาจะให้เราจ่ายให้เขาเต็มจำนวนก่อน (2,601 บาท) จากนั้น ถึงเขาจะออกใบเสร็จให้เราแค่ 344 บาท ส่วนที่เหลือ 2,257 บาท ไม่มีบเสร็จ! เราก็ทำอะไรเขาไม่ได้แล้วค่ะ เพราะเงินอยู่กับเขาไปแล้ว พอสอบถาม คนส่งของก็จะบอกเราแต่เพียงว่าเขาเป็นเพียงพนักงานผู้ส่งของให้เราถึงบ้านเท่านั้น ขั้นตอนอื่นๆไม่ทราบ ..จบข่าว...

หมายเหตุ - หากเราไม่พอใจ และต้องการฟ้องร้องต่อสำนักคุ้มครองผู้บริโภคว่าถูกเอาเปรียบ โดยใช้เอกสารการแจ้งยอดเงินแรกคือ 2,601.70 บาทนั้น ก็ทำไม่ได้หรอกค่ะ เพราะนั่นไม่ใช่ใบเสร็จ เป็นตัวเลขพิมพ์ใส่กระดาษเฉยๆ ไม่มีลายเซ็นต์ จึงใช้เป็นหลักฐานทางคดีไม่ได้ อีกทั้งตอนรับเงิน เขาก็ส่งลูกน้องมารับเงินสดกับมือ ไม่ได้ให้โอนทางธนาคาร ดังนั้น เราจึงไม่มีหลักฐานการโอนทางธนาคาร มาใช้ฟ้องร้องใดๆต่อการเอาเปรียบนี้ได้เลยค่ะ


 

               3.สั่งขนาดกลางแค่ 3 ขวด แต่สั่งห่างกัน 1 เดือน

สั่งซื้อมา 3 ขวด ในราคารวม 44.42 เหรียญ


                            จากที่ดิฉันโดนมาใน 2 กรณีแรกนั้น ดิฉันเลยมานั่งคิดว่า ถ้าอย่างนั้น สั่งแค่ครั้งละ 3 ขวด แต่สั่งบ่อยๆดีกว่า ก็เลยทดลองสั่งซื้อขวดขนาดกลางไปอีก 3 ขวด โดยทิ้งระยะห่างจากการโดนยึดครั้งแรกประมาณ 1 เดือน จากนั้น ก็นั่งรอ เสร็จแล้วก็มีเอกสารข้างล่างนี้มาอีก ก็คือให้ไปโดนพิธีทางศุลกากรอีก

โดนอีกแล้ว! ต้องไปเดินพิธีทางศุลกากรอีกแล้ว
(รูปตัวจริงไม่ได้แสกนไว้ค่ะ ขออนุญาตยืมรูปข้างบนมาแทนก่อน เพราะหน้าตาเหมือนกัน)


                            แต่ปัญหาคือ ในครั้งแรก ดิฉันได้ลงบันทึกคำรับสารภาพไปแล้วว่า "จะนำเข้าเป็นครั้งสุดท้าย" ดังนั้น ในครั้งนี้ ถ้าดิฉันไปดำเนินพิธีทางศุลกากรเอง ถูกสอบสวนเอง ก็คือการไปรับสภาพการถูกยึดนั่นเอง  ดังนั้น ดิฉันจึงติดต่อขอใช้บริการจากผู้ให้บริการ (จ่ายใต้โต๊ะ) ต่อเจ้าหน้าที่ หรือเรียกง่ายๆว่า "นายหน้า" โดยเอกสารจะมีรูปร่างดังข้างล่างนี้ค่ะ (ตัวจริง)


 

ในเอกสารบอกว่าเสียค่าบริการแค่ 250 บาท แต่จริงๆแล้ว 2,200 บาทค่ะ! (ไม่มีใบเสร็จด้วย)


                            ดิฉันได้โอนเงินไปให้บริษัท STI ข้างบนนี้ เป็นเงิน 2,200 บาท โดยไม่มีใบเสร็จและไม่มีหลักฐานมายืนยันให้ลูกค้าผู้อ่านบทความนี้ดูได้ จึงได้แต่บอกว่าถ้าดิฉันโกหกคุณโดยโอนเงินไปให้บริษัทนี้น้อยกว่า 2,200 บาท ก็ขอให้ดิฉันมีอันเป็นไปแล้วกันค่ะ

                            หลังจากโอนแล้ว ดิฉันก็ได้รับอาหารเสริมตัวนี้มา 3 ขวด (ขนาดขวดละ 90 เม็ด) ดังภาพข้างล่างนี้


 

(ภาพบน) สภาพซองห่อของ


 

(ภาพบน) มีชื่อบริษัทนายหน้านี้ (STI) ติดไว้ถูกต้อง แต่...


 

(ภาพบน) พอพลิกดูก้นซอง เขียนเป็นใบเสร็จไว้ว่า "ค่าบริการผ่านพิธีศุลกากร ใบแจ้งเลขที่.... แต่..

(ภาพบน) เขียนไว้ว่า 350 บาท  อ้าว.. ดิฉันโอนไปให้ 2,200 บาทไม่ใช่เหรอ


                            ดิฉันโทรไปสอบถามบริษัทนี้โดยทันทีเลย ก็ได้รับคำชี้แจงว่า จำนวนเงินที่เหลือคือ 2,200 - 350 = 1,850 บาท นั้น เป็นค่าภาษี และค่าให้ใต้โต๊ะกับเจ้าหน้าที่ ดิฉันรู้ทันทีเลยว่า ภาษีสามขวดนี้ จริงๆแล้วไม่เกิน 200 บาท (เพราะบริษัทฯนี้ไม่ทราบว่าดิฉันมีประสบการณ์การสั่งซื้ออาหารเสริมมาก่อน และเมื่อเสียภาษีแล้วจะต้องมีใบเสร็จสีเหลืองมาให้ ซึ่งจะระบุค่าภาษีชัดเจน แต่นี่เขาไม่ให้ใบสีเหลืองนี้มาด้วย หมายความว่ายังไง?) ดังนั้น ส่วนที่เหลือคือ 1,850 - 200 = 1,650 บาทนั้น บริษัทนี้เอาไปทำอะไรกับเจ้าหน้าที่ศุลกากร คุณก็เดากันเองแล้วกันค่ะ

                            สรุปอีกครั้งว่า สำหรับอาหารเสริมที่ยกตัวอย่างในชุดนี้นั้น เริ่มต้น ราคารวมค่าส่งคือ 44.42 เหรียญ คิดเป็นเงินไทยก็คือ 1,510 บาท เมื่อรวมเงินที่เดินพิธีการทางศุลกากรอีก 2,200 บาท ก็เป็น 3,710 บาท เมื่อหาร 3 (เพราะมี 3 ขวด) ก็คือ ราคาตกขวดละ 3,710 / 3 = 1,236 บาท ทั้งๆที่เมืองไทย ซื้อได้ในราคาขวดละ  780 บาท

                            ถึงแม้จะเกิดเหตุการณ์ข้างบนนี้ แต่ดิฉันก็ทบทวนดูแล้วว่า ดิฉันสั่งซื้ออาหารเสริมไปประมาณ 25 รายการ(ให้ลูกค้า) พร้อมๆกัน แต่มีตัวข้างบนนี้ตัวเดียวที่โดนพิธีทางศุลกากร นอกนั้นผ่านหมด (เสียภาษีบ้าง ไม่เสียบ้าง แต่ไม่ต้องผ่านพิธีทางศุลกากร)  ซึ่งตัวที่โดนพิธีทางศุลกากรนี้ ซ้ำกันกับที่ดิฉันเคยสั่งซื้อไปก่อนหน้านี้ ซึ่งแม้ว่าจะเป็นคนละเวบไซท์ แต่ก็เป็นอาหารเสริมตัวเดียวกัน และการที่ดิฉันสั่งซื้อคราวนี้เพียง 3 ขวด (แทนที่จะเป็น 6 ขวดเหมือนครั้งก่อน) ก็ทำให้สินค้าไม่ถูกยึด แต่ก็ต้องโดนพิธีทางศุลกากรอยู่ดี คือต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มอีก 2,200 บาท สำหรับ 3 ขวดนี้

                            ดิฉันได้แอบไปอ่านระเบียบศุลกากรเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ มีข้อความตอนหนึ่งว่า "แม้ว่าจะมีการแยกกล่องกันมา แต่ถ้าสินค้าเดียวกัน ผู้รับคนเดียวกัน เขาก็ตีความว่าเรากำลัง "เลี่ยง" การตรวจสอบ และนั่นคือขั้นตอนที่เราจะต้องถูกนำไปสอบสวน (ดำเนินพิธีทางศุลกากร) นั่นเอง" ดิฉันจึงตีความเพิ่มเติมว่า ระยะห่างของคำว่า "แยกกล่องกันมา" ก็คืออย่างน้อย 3 อาทิตย์ ถึงหนึ่งเดือน จึงจะปลอดภัยที่สุด และได้ทดลองสั่งแยกเป็นห่างออกไป 1 เดือนครึ่ง ผลปรากฏว่าครั้งหลังนี้ เสียภาษีแค่ 420 บาท แต่ไม่ต้องผ่านพิธีทางศุลกากร ดังนั้น สมมติฐานของดิฉันจึงถูกต้องค่ะ


               4.สั่งซื้อ 360 เม็ด จำนวน 1 ขวด

(ภาพบน) รูปตัวอย่างค่ะ ของจริงคือภาพข้างล่างนี้

(ภาพบน) ศรแดง ยืนยันว่าเป็นอะมิโน 1 ขวด ขนาด 360 เม็ด
ศรเขียว ยืนยันว่าเป็นหมายเลขสินค้าชิ้นนี้ คือ 300328636938
 

(ภาพบน) ศรแดง ยืนยันว่าส่งของออกมาวันที่ 30 กรกฎาคม 2552
ศรเขียว ยืนยันว่าเป็นหมายเลขสินค้าชิ้นนี้ คือ 300328636938
 

เวลาผ่านไป 3 เดือน (ทั้งๆที่น่าจะได้รับของในแค่ 3 อาทิตย์)


 

(ภาพบน) ดิฉันจึงได้เมลล์ไปทวง (คำตอบอยู่ข้างบน ,คำถามทวงอยู่ข้างล่าง)

ศรแดงอันบน ยืนยันว่า เวลาผ่านไป 3 เดือนจริงๆ (ซื้อ 20 ก.ค.52 - วันที่ถาม 23 ต.ค.52)

ศรแดงอันที่สอง ฝรั่งคนขายยืนยัน Tracking Number (เลขเช็คสถานะส่ง)

ศรเขียว ยืนยันรหัสสินค้าว่าเป็นตัวเดียวกันกับที่ดิฉันสั่งไว้ข้างบน


                            ของหายไปเฉยๆ! เช็คสถานะแล้วก็ยืนยันมาแล้วว่าส่งออกมาจากอเมริกาแล้วจริงๆ  ซึ่งทางคนขายเขาเขียนไว้ในเนื้อเมลล์แล้วว่าอาจเกิดจากการยึดของศุลกากรในไทย  ซึ่งก็คงเป็นไปตามนั้นจริงๆค่ะ เพราะจนป่านนี้ (ที่กำลังพิมพ์บทความอยู่นี้) ก็ขึ้นเดือนที่ 4 แล้ว ก็ยังไม่มีวี่แววของอาหารเสริม 360 เม็ด นี่แต่อย่างใดเลยค่ะ

                            ดิฉันได้เล่าประสบการณ์จริงๆทั้งหมดนี้ให้คุณฟังโดยไม่ปิดบัง และไม่ได้ต้องการให้คุณเครียดหรือกังวลเกินเหตุ ตราบใดที่คุณฝากให้ดิฉันซื้อสินค้าต่างประเทศให้ ดิฉันจะทำทุกวิถีทางไม่ให้คุณโดน "พิธีทางศุลกากร" หรือ "โดนยึดแบบของหายไปเฉยๆ" แบบนี้ โดยปัจจัยหลักที่ดิฉันสรุปมา 3 ข้อคือ
 

ถ้าเป็นขวดใหญ่น้ำหนักรวมอย่าเกิน 4 ปอนด์
ถ้าเป็นขวดกลาง (ขวดละ 90 เม็ด) ก็อย่าเกิน 3 ขวด (ก็คือไม่ให้เกิน 180 เม็ดนั่นเอง)
และ...

ถ้าจะสั่งซื้อสินค้าตัวเดียวกันอีกครั้ง ควรห่างกัน 3 อาทิตย์ถึง 1 เดือนขึ้นไปค่ะ!


               ค่ะ คือถ้าเป็นอาหารเสริมขวดใหญ่ก็สั่งได้ แต่ควรสั่งแค่ขวดเดียวและน้ำหนักไม่เกิน 3 กก. หรือจะสองขวดก็ได้แต่ก็รวมแล้วก็ไม่ควรเกิน 3 กก.อยู่ดี   ส่วนถ้าเป็นขวดกลางประมาณขวดละ 90 - 100 เม็ด ก็ไม่ควรเกินครั้งละ 3 ขวดค่ะ และถึงแม้จะทำตามที่ดิฉันบอกมาแล้ว ก็ต้องทิ้งระยะห่างประมาณ 1 เดือนขึ้นไปถึงจะกลับมาซื้อตัวเดิมอีก ทั้งหมดที่ทำนี้ ก็เพื่อให้เข้าข่ายว่า "ซื้อมาใช้เอง" นั่นเองค่ะ (เครื่องสำอางก็ใช้หลักการเดียวกัน คือฝากซื้อในลักษณะเหมือน "ซื้อมาใช้เอง" ไม่ใช่ดูตามจำนวนกิโลกรัมเหมือนอาหารเสริมนะคะ)

               ตอนที่ดิฉันถูกสอบสวนอยู่ที่ด่านศุลกากรนั้น ดิฉันได้คุยกับเจ้าหน้าที่ อ.ย. ว่า เจ้าหน้าที่มีหลักพิจารณาอย่างไรที่ว่าซื้อมาใช้เอง  คำตอบคือ เจ้าหน้าที่จะดูที่ฉลากข้างขวด ว่าให้ใช้ปริมาณเท่าไรต่อวัน จากนั้น  คำว่า "ซื้อมาใช้เอง" ก็คือการที่ ทานอาหารเสริมทั้งหมดที่ซื้อมา (ตามปริมาณที่กำหนดไว้ที่ฉลากข้างขวด) นั้น หมดภายใน 1 เดือน อาจจะเกินกว่านั้นนิดๆหน่อยๆก็ไม่เป็นไร และเมื่อถามว่า ถ้าอย่างนี้คนในบ้านมี 4 คนและอยากใช้ตัวยานี้เดียวกันก็ต้องแยกกันซื้อเป็น 4 กล่องหรือ? เจ้าหน้าที่หงุดหงิด (คงเพราะตอบไม่ได้) จากนั้นก็ตอบประมาณว่า จริงๆแล้วตัวสินค้าควรจะโดนยึดด้วยซ้ำ แต่อะลุ้มอล่วย ให้ว่าใช้คนเดียวก็คือคนที่ระบุชื่อเป็นผู้รับสินค้าที่แปะไว้บนกล่องเท่านั้น ก็ดีแล้วอย่าเซ้าซี้ (กำลังจะถามต่อว่าถ้างั้นใส่ชื่อผู้รับลงไปทั้ง 4 คนบนกล่องใบเดียวได้ไหม ก็กลัวจะมีเรื่องน่ะค่ะ)


 

ถ้าทำตามที่ดิฉันแนะนำ ก็ไม่มีปัญหาอะไรค่ะ ดิฉันทำสำเร็จมาเป็นร้อยๆรายการแล้ว!


               สำหรับการรับฝากซื้อสินค้าอาหารเสริม ,เครื่องสำอาง หรือเครื่องมือนั้น ไม่ใช่เรื่องยากเย็นจนทำไม่ได้หรอกค่ะ เพราะดิฉันก็ทำสำเร็จมาเป็นร้อยๆรายการแล้ว ขอเพียงเชื่อตามที่ดิฉันแนะนำแล้วก็จะไม่มีปัญหาอะไร  ส่วนเรื่อง "ภาษี"นั้น เป็นอะไรที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว บางครั้งก็โดน บางครั้งก็ไม่โดน จึงไม่ขอพูดในที่นี่ แต่ถ้าคุณลูกค้าอยากอ่านรายละเอียดเกี่ยวกับภาษี คลิ๊กที่นี่ค่ะ

               ถ้าเป็นสินค้าอื่นที่ไม่อยู่ในหมวดนี้ ดิฉันจะดูแลให้ตั้งแต่ต้นจนจบ  แต่สำหรับหมวดของ อาหารเสริม ,อาหาร ,เครื่องสำอาง มีโอกาสโดน "พิธีทางศุลกากร" ได้  ดังนั้น จึงขอทำข้อตกลงกับลูกค้าเลยนะคะว่า ถ้าฝากซื้อสินค้าจำพวกนี้แล้ว หากต้องโดนพิธีทางศุลกากรจริงๆ ทางลูกค้าก็ต้องรับผิดชอบตัวเองนะคะ (แต่ดิฉันก็จะคอยให้คำปรึกษาอยู่)  คืออันนี้ ต้องเห็นใจดิฉันด้วยว่าสมมติคุณฝากซื้ออาหารเสริม ในราคา 4,000 บาท ถ้าทำได้ ดิฉันก็ได้ค่าบริการแค่ 75 บาท แต่ถ้าพลาดไปโดนพิธีทางศุลกากร แล้วจะให้ดิฉันรับผิดชอบจ่ายใต้โต๊ะให้เจ้าหน้าที่แทนคุณ 2,200 บาท (รวมภาษี) หรือขอทิ้งสินค้าไปเลยแล้วคุณจะให้ดิฉันคืนเงินให้คุณ 4,000 บาท ดิฉันคิดว่ามันไม่แฟร์ สู้ดิฉันไม่รับฝากซื้อเสียแต่แรกเลยจะดีกว่า  (เหมือนกับเล่นพนัน ที่ว่าถ้าชนะ ก็ได้แค่ 75 บาท แต่ถ้าแพ้ก็หมดตัว อย่างนี้ดิฉันไม่เล่นด้วยหรอกค่ะ) ขอให้เห็นใจดิฉันตรงนี้ด้วยนะคะ   ต่อไปก็จะพูดถึงขั้นตอนการฝากซื้ออาหารเสริม ,เครื่องสำอาง แบบทั่วไปค่ะ

ข.ข้อแนะนำการฝากซื้อ

               ให้หาเวบที่ส่งให้ทั่วโลก (Worldwide) -  ถ้าเวบขายอาหารเสริมนั้น ระบุมาเลยว่าไม่ส่งมาประเทศไทย ก็ผ่านไปเลย ไม่ต้องเสียเวลาต่อรอง  ให้เราเลือกเวบที่บอกว่าส่งให้ลูกค้าได้ทั่วโลก

               หมายเหตุ - ถึงเวบนั้นๆ จะบอกว่าส่งได้ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยด้วย แต่ถ้าอ่านดีๆ จะมีข้อตกลงเป็นภาษาอังกฤษว่า Please be familiar with the laws and policies inside your country. We cannot be responsible for items confiscated, destroyed, or damaged by any customs department. All responsibilty for shipments outside of the US lies with the purchaser  แปลว่า ทำความเข้าใจกฎหมายในบ้านคุณให้ดี เราไม่รับผิดชอบต่อการถูกยึดสินค้า ,ถูกทำลาย ,เสียหายโดยศุลกากรบ้านคุณ  ความรับผิดชอบทั้งหมด ตกอยู่กับผู้ซื้อเอง ก็แปลไทยเป็นไทยว่า เขาส่งของให้อย่างเดียว และรับเงินของเราไป  ส่วนสินค้าจะถูกยึดหรือไม่ ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเขา (เขาไม่ต้องคืนเงินให้เรา ถ้าสินค้าถูกยึด)  ดังนั้น เราจึงต้องลดความเสี่ยงตามขั้นตอนต่อไปด้วยค่ะ

               ให้เลือกการส่งแบบ "Priority" เท่านั้น - การส่งแบบ Priority มาประเทศไทย แม้ว่าจะแพงกว่าการส่งแบบธรรมดาถึงเท่าตัว แต่ก็ยังถูกกว่าแบบ Express หลายเหรียญ  ที่สำคัญที่สุดคือ การส่งแบบ Priority มีอัตราหลุดรอดสายตาศุลกากรมากขึ้น โดยอันนี้ เวบฝรั่งที่เคยส่งอาหารเสริมมาประเทศไทยนั้น เป็นผู้แนะนำเองค่ะ ว่าอัตราการถูกยึด น้อยลงไปมากเมื่อส่งแบบ Priority นี้ และแม้ว่าเราจะสั่งแบบให้ส่งแบบธรรมดา หรือส่งแบบ Priority ซึ่งค่าใช้จ่ายแพงขึ้น แต่เขาก็ไม่ได้กำไรจากค่าส่งในส่วนนี้อยู่แล้ว (เพราะเป็นค่าใช้จ่ายสำหรับการขนส่ง ไม่ใช่ราคาที่เพิ่มเข้าไปในตัวสินค้า) เพียงแต่แนะนำมาว่าอัตราการถูกยึดน้อยลงกว่าการส่งธรรมดาค่ะ
 

ให้เลือกส่งแบบ Priority Mail International เท่านั้น



(ตัวอย่างเหตุการณ์จริงที่คุณลูกค้าส่งมาให้ดูค่ะ) ลูกค้าชื่อ Khonray Khontiang (khonray-kgb@hotmail.com)


เรียน คุณวิษณุ ตุวยานนท์
 
ผมชื่อ กำพล คนเที่ยง เล่นอยู่ที่บ้านจังหวัดลำปาง ใช้ชื่อในเวป KGB และKGB2553 แต่จำPassworld ไม่ได้ซักอัน(ถ้าทราบภายหลังจักขอบคุณมาก) ตัวผมเองใช้บริการEbayมานาน แต่ไม่เคยนำเข้าเวย์ ผมลองนำเข้ามาถุงละ5ปอนด์ 2ถุง Whey Protein Isolate ปรากฎว่าโดนกักไว้ที่ศุลกากรลำพูน ต้องบึ่งรถยนต์ส่วนตัวไปรับของตามจดหมายเรียก ผมเองนึกว่าแค่เสียภาษีเพิ่มแล้วรับของกลับ เขาบอกว่าเป็นอาหารเสริมที่ไม่รับรองจาก อย.ไทย คุณต้องไปรับ จนท.อย.ไทย มารับรองที่ศุลกากรลำพูน โอ้โห.. ทีนี้เรื่องเริ่มบานใหญ่ละ เริ่มด้วย อย.จังหวัดลำพูนอยู่ที่ไหน โทรไปก็ไม่รับ ไปรับ จนท.อย.มา เขาจะคิดค่าใช้จ่ายเพิ่มอีกไหม คิดแล้วคุ้มมั้ย ทำไมไม่ซักที่เวปเลย โอ้..
 
ผมต้องทำตามที่เขาบอกจริงทุกอย่าง ไปรับ จนท.อย.ลำพูน เขาต้องตรวจสอบรายชื่อเวย์อีก ว่าเป็นเวย์ต้องห้ามตาม"ชื่อผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เฝ้าระวังในการนำเข้า" ที่กรมฯเขากำชับมา ใจคอไม่ค่อยดีกลัวรายชื่อตรงที่เขาระบุ เพราะไม่งั้นต้องส่งคืนหรือทำลายโดยผังกลบ นับว่าโชคยังเข้าข้างผม ที่รอดพ้นรายชื่อเหล่านั้น ไม่เสียค่ารับ จนท.อย.(แถมใจดีด้วย)แถมได้รายชื่อผลิตภัณฑ์สุขภาพที่เฝ้าระวังในการนำเข้าติดมือมาด้วย เสียภาษีที่ศุลากร 504 บาท ถือว่าคุ้มแต่โดนห้ามนำเข้ามาอีก
 
ประสบการณ์และข้อมูลเหล่านี้ อยากแบ่งให้พี่ให้น้องทราบ เพื่อเป็นแนวทางหรือข้อคิดในการซื้อสินค้าต่อไป
 
                                                          
                                                           ขอแสดงความนับถือ
 
                                                               กำพล คนเที่ยง


- END -