คุณเลือกเอง ก็ต้องทำใจนะครับ

       ก่อนที่ ทีมงาน Tuvagroup.com จะพาคุณลูกค้าเข้าสู่เนื้อเรื่องนั้น ขออนุญาตทำการเปรียบเทียบในเรื่องทั่วๆไปเสียก่อน เพื่อให้คุณลูกค้ามองภาพได้ชัดเจนยิ่งขึ้น  โดยการเปรียบเทียบเป็นไปดังข้างล่างนี้ครับ

eurngluang.com

( ภาพบน ) ข้าวกระเพราไก่ไข่ดาว จานละ 1,035 บาท
คนขาย จัดจานอย่างพิถีพิถัน ดูน่าทาน และสะอาดสอ้าน

manager.co.th

( ภาพบน ) ราคาแพง ก็เพราะเรากินที่ภัตตาคาร 5 ดาว บนยอดตึก

       ถ้าเราไปสั่งข้าวกระเพราไข่ดาวกินที่ภัตตาคารหรู  เพื่อกินบรรยากาศภายใต้แสงเทียน และได้ดูแสงสีจากตึกอาคารที่อยู่ด้านล่าง ( เหมือนในรูปที่เห็นข้างบนนี้ ) อีกทั้งยังมีบริกร มาบริการเราอย่างอบอุ่น แล้วล่ะก็ ราคาอาหารข้าวกระเพราะไข่ดาวจานนั้น ก็อาจจะเป็นจานละ 1,035 บาท  ซึ่งเราก็เต็มใจที่จะทาน และจ่ายไปตามนั้น เพราะราคามันก็เหมาะสมกับบรรยากาศที่เราได้โรงแรมหรูแห่งนี้ / ในทางกลับกัน ถ้ามันเป็นไปดังภาพข้างล่างนี้


webboard.sanook.com

( ภาพบน ) ข้าวกระเพราไก่ไข่ดาว จานละ 35 บาท
ราดข้าวมาเหมือนตักให้หมากิน (
ไร้ความปราณีตในการจัดจานอาหาร )

pantip.com

( ภาพบน ) ราคาจานละ 35 บาท เพราะกินที่ร้านข้างถนน

       ถ้าเราไปสั่งข้าวกระเพราไก่ไข่ดาวกินที่ร้านอาหารข้างถนน ( ซึ่งอยู่ใกล้ตึกที่เป็นภัตตาคารหรูที่เราเห็นในภาพข้างบน ก่อนหน้านี้ )   เราก็จะได้บรรยากาศ แบบโหดๆ ถึกๆ  เช่นพอเลือกกับข้าว เรื่องมากหน่อย แม่ค้าคนขายที่พึ่งทะเลาะกับผัวมา ก็จะทำท่าแสดงออก ( อย่างชัดเจน ) ว่าไม่พอใจที่เราเลือกมาก ,พอไปนั่งกินที่โต๊ะ ก็ต้องทนนั่งฟังโต๊ะข้างๆ มันด่า มันนินทาแม่ยายมัน ,และไอ้ถ้วยน้ำปลาที่อยู่บนโต๊ะ มันก็เป็นถ้วยน้ำปลา แบบปากกว้าง ที่ใครๆ ( ก่อนหน้านี้ ) ก็สามารถใช้ช้อนที่มันตักข้าวเข้าปากนั้น เอาไปตักน้ำปลาในถ้วยนั้นได้  ก็คือว่า ถ้าเราตักน้ำปลาถ้วยนี้มาราดไข่ดาว เราก็จะต้องติดไวรัสบีลงตับ จากมันได้อย่างไม่ต้องสงสัย เราก็เลยต้องกินข้าวกระเพราไก่ไข่ดาวแบบจืดๆไป เพราะไม่กล้าตักน้ำปลาในถ้วยนั้น ฯลฯ

       แต่เรามีเงินในกระเป๋าแค่ 50 บาท ดังนั้น ในเมื่อข้าวกระเพราไก่ไข่ดาวร้านข้างถนนนี้ มันราคา 35 บาท ดังนั้น แทนที่เราจะต้องไปยืมเงินเพื่อนมา 1,000 บาท เพื่อจะไปกินกระเพราไก่ไข่ดาวราคาแพงที่ภัตตาคารหรู  ก็สู้เราเอาเงิน 50 บาทนี้ ซื้อข้าวกินที่ร้านข้างถนนนี้ล่ะวะ  ยังเหลือทอน 15 บาทขึ้นรถเมลล์กลับบ้านได้ด้วย

       นั่นหมายความว่า ไม่ว่าบรรยากาศร้านแกงข้างถนนนี้ จะสุดถ่อย สุดห่วยอย่างไร เราก็เต็มใจที่จะทาน และจ่ายไปตามนั้น เพราะมันก็เหมาะสมกับราคาของมันแล้ว คือจานละ 35 บาท


       เมื่อมองภาพรวม เราก็จะเห็นว่า ร้านอาหารสองร้านนี้ อยู่ใกล้กันมาก คือเราสามารถเดินจากร้านอาหารข้างถนนนี้ แล้วขึ้นลิฟท์ของตึก เพื่อไปกินข้าวกระเพราไก่ ไข่ดาว จานละ 1,035 บาทบนภัตตาคารยอดตึกนั้นได้เลย  เพียงแต่ว่าในเมื่อเรามีเงินแค่ 50 บาท เราก็เลยไม่อยากไปขอยืมเงินเพื่ออีก 1,000 บาทเพื่อจะไปกินข้าวที่ภัตตาคารดังกล่าว ซึ่ง เพื่อนคุณก็มีเงินพร้อมจะให้คุณยืม เพียงแต่คุณ เลือกที่จะไม่ยืมเงินเพื่อนเอง และเลือกที่จะไม่ขึ้นไปทานอาหารบนภัตตาคารหรูนั้น

       และในเมื่อคุณเลือกที่จะทานข้าวกระเพราไก่ไข่ดาว จานละ 35 บาทที่ร้านข้างถนนนี้เอง ( คือไม่มีใครไปบังคับให้คุณเลือก ) คุณก็ต้องทนกับบรรยากาศแย่ๆ ที่ร้านข้างถนนนั้นเอา  โดยที่คุณไม่สามารถที่จะโวยวาย ร้องแล่แห่กระเชิง เรียกหาบริการแบบสุดอบอุ่นได้จากร้านข้างถนนนั้น เหมือนกับบริการชั้นเลิศที่คุณจะได้รับจากภัตตาคารสุดหรู

       สรุป ณ.ตรงนี้ก่อนนะครับว่า ถ้าคุณจ่ายค่าข้าวกระเพราไข่ดาวเพียงจานละ 35 บาท คุณก็จะต้องกินที่ร้านข้างถนน อันหมายถึงคุณจะได้รับบริการ ได้รับบรรยากาศที่แตกต่างจากบริการของภัตตาคารสุดหรู ( ที่ขายข้าวกระเพราไข่ดาว จานละ 1,035 บาท ) เป็นอย่างมาก เพราะราคาข้าวของสองสถานที่นั้น มันต่างกันถึง 1,035 - 35 = 1,000 บาท แม้ว่าจะเป็นข้าวกระเพราไข่ดาว จำนวน 1 จานเท่าๆกัน 

       เอาล่ะครับ ที่กล่าวมาข้างบนทั้งหมดนั้น คือการยกตัวอย่างเรื่องทั่วๆไปให้เห็นภาพกันนะครับ และตอนนี้เราก็จะเข้าสู่เนื้อเรื่องของจริงกันแล้วครับ ดังข้างล่างนี้ครับ / โดยตัวอย่างข้างล่างนี้ เป็นสินค้าที่มีราคาตัวสินค้า และราคาค่าส่ง เป็นไปตามที่เห็นในภาพจริงๆเลยนะครับ ไม่ได้ใช้การสมมติขึ้นมาแต่อย่างใดครับ



       ( ภาพบน ) มีลูกค้าท่านนึง ต้องการฝากซื้อสินค้าเป็นเคสใส่โทรศัพท์มือถือรุ่น LG Optimus จากเวบ Ali express ตามที่เห็นอยู่ในภาพข้างบนนี้  ซึ่งราคาสินค้าก็น่าสนใจ คือขาย 20 ชิ้น ในราคาแค่ 19.99 เหรียญ

       ซึ่งไอ้เจ้าราคา 19.99 เหรียญนั้น มันเป็นราคาเฉพาะค่าสินค้าเท่านั้น  ยังไม่รวมค่าส่งแต่อย่างใด  แล้วเราจะดูค่าส่งจากที่ตรงไหน  อ๋อ.. เจอแล้ว อยู่ด้านล่างของค่าสินค้านี่เอง อยู่ตรงที่เขียนไว้ว่า Shipping Cost ตรงที่ ลูกศรสีน้ำเงิน ชี้อยู่ในภาพข้างบนนี้



       ( ภาพบน ) ให้คุณลูกค้าคลิ๊กไปที่ปุ่มสามเหลี่ยมเล็กๆ ตรงที่ ลูกศรสีน้ำเงิน ชี้อยู่ เพื่อดูตัวเลือกการส่ง ซึ่งเมื่อคลิ๊กเแล้ว มันก็จะเกิดตัวเลือกให้เห็นดังภาพข้างล่างนี้


 

       ( ภาพบน ) ข้างบนนี้ เป็นตัวเลือกการส่ง สำหรับสินค้า เคสใส่โทรศัพท์มือถือรุ่น LG Optimus  ที่ผมยกตัวอย่างมาจากภาพข้างบนก่อนหน้านี้นะครับ  ซึ่งคุณลูกค้าจะเห็นได้ว่ามีการส่งอยู่ 3 แบบให้เลือก ซึ่งคุณลูกค้าจะต้องเลือกด้วยตัวเอง ว่าจะใช้การส่งแบบไหน

       คุณลูกค้าลองเทียบราคาค่าส่งแบบแพงสุด ( คือส่งด้วย FedEx ในราคา 33.94 เหรียญ ) และแบบถูกสุด ( คือส่งด้วย China Post Air Mail ในราคา 0 เหรียญ คือส่งฟรีนั่นเอง ) จะพบว่าราคามันต่างกันถึง 1,086 บาท ( ก็คือเอา 33.94 เหรียญ x 32 )

       ทั้งๆที่ คนส่ง ( หมายถึงคนขาย ) ก็เป็นคนๆเดียวกัน ,ตัวสินค้า ก็เป็นสินค้าชิ้นเดียวกัน ,และผู้รับ ( หมายถึงตัวคุณลูกค้าเอง ) ก็เป็นคนๆเดียวกัน ,สถานที่รับก็เป็นบ้านของคุณลูกค้า ที่อยู่ประเทศไทย หลังเดียวกัน แต่ทำไม พอเลือกให้ส่งด้วย FedEx มันถึงแพงกว่าให้ส่งแบบส่งฟรี ตั้ง 1,086 บาทล่ะ?

       คำตอบ มันก็เหมือนการเลือกกินข้าวกระเพราไก่ไข่ดาว ตามที่ผมยกตัวอย่างมาก่อนหน้านี้ไงครับ คือ เป็นข้าวกระเพราไข่ดาว ที่มีปริมาณพอๆกัน ,มีจำนวน 1 จานเท่ากัน ,กินแล้วก็อิ่มเหมือนๆกัน แต่เมื่อจะเลือกที่จะกินที่ใดที่หนึ่ง ( คือเลือกจะกินข้างถนน หรือเลือกจะกินที่ภัตตาคารสุดหรู ) ราคาก็จะต่างกันทันที 1,000 บาท ,และแน่นอน ว่า ไม่ว่าคุณจะเลือกกินข้าวกระเพราไก่ไข่ดาวที่ไหน ในสองที่นั้น คุณก็ต้องรับผลกระทบของมันที่จะติดตามมาด้วย นั่นคือ

       1.ถ้าคุณเลือกที่จะทานที่ภัตตาคารสุดหรู - ผลที่คุณจะได้รับนอกเหนือจากความอิ่มของคุณ ก็คือ เงินในกระเป๋าคุณจะหายไปเป็นพันบาท

       2.ถ้าคุณเลือกที่จะทานที่ร้านข้างถนน - ผลที่คุณจะได้รับนอกเหนือจากความอิ่มของคุณก็คือ อาหารอาจจะปรุงไม่อร่อย หรือไม่ก็ติดไวรัสบีจากถ้วยน้ำปลาที่ร้านอาหาร

       และอย่างที่ผมบอก ก็คือ มันเป็นการเลือกของคุณเอง ดังนั้น ไม่ว่าผลกระทบที่เกิดขึ้น มันเป็นอะไร ( ในข้อ 1 หรือข้อ 2 ) คุณก็ต้องเต็มใจรับมัน เพราะคุณเป็นผู้เลือกเอง


 

       ( ภาพบน ) การเลือกวิธีส่งสินค้าก็เช่นกัน ในเมื่อทางเลือกค่าส่งเคสโทรศัพท์นั้น มันมีถึง 3 ทางเลือก และทางเลือกที่แพงที่สุด ก็คือค่าส่ง 33.94 เหรียญ ,ส่วนทางเลือกที่ถูกที่สุดก็คือ 0 เหรียญ

       ถ้าคุณต้องการประหยัดเงินในกระเป๋าของคุณ คุณก็เลือกการส่งแบบ 0 เหรียญ  เพียงแต่ว่า คุณก็จะต้องทำใจกับผลที่ตามมาของการเลือกค่าส่งแบบ 0 เหรียญ ( ซึ่งก็คือ Free Shipping ) นั้น ดังนี้คือ

       ประการที่ 1 คุณจะ ได้รับสินค้า "ช้า" กว่าการส่งแบบเสียเงิน 33.94 เหรียญ  เพราะการส่งแบบ 33.94 เหรียญนั้น เขาจะส่งทางเครื่องบิน ในขณะที่การส่งแบบ 0 เหรียญนั้น เขาอาจจะส่งทาง "เรือ" ซึ่งเดินทางช้ากว่าเครื่องบินมากเป็นเดือนๆ

       ประการที่ 2 ถ้าเลยกำหนดเป็นเดือนๆแล้วก็ยังไม่ได้รับของ คุณจะไม่สามารถค้นหาของได้ว่า ณ.ปัจจุบันนี้ ของนั้นอยู่ที่ไหน เพราะคุณจะ ไม่มีเลข Tracking number ( คือเลขรหัส ที่ใช้ตรวจดูสถานะของสินค้า ว่าอยู่ที่ไหนแล้ว ) เพราะการเลือกส่งสินค้าแบบ 0 เหรียญนั้น ทำให้ผู้ขายต้องส่งสินค้าให้เราแบบไม่มี Tracking number เพราะค่าส่งแบบไม่มี Tracking number นั้นถูกกว่าค่าส่งแบบมี Tracking number มาก ( คือหมายความว่า ถ้าต้องการให้ผู้ขายส่งสินค้าแบบมี Tracking number เราก็ต้องเลือกการส่งแบบ FedEx ซึ่งต้องจ่ายถึง 33.94 เหรียญ หรือไม่ก็เลือกการส่งแบบ DHL ซึ่งราคาก็พอๆกัน คือต้องจ่ายถึง 29.81 เหรียญ )

       ประการที่ 3 ถ้าคุณเลือกส่งแบบ 0 เหรียญ และคนขายสามารถให้เลข Tracking number คุณได้ด้วย  คุณจะพบว่าเลข Tracking number เป็นเลข Tracking number แบบอนาถา คือไม่สามารถใช้การอะไรได้เลย มีเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เราฟ้องร้องคนขาย ในกรณีที่ของหายเท่านั้น ( คือ ถ้าของหาย มันจะทำให้เราฟ้องร้องเอากับคนขายไม่ได้ เพราะคนขายมันมีเลข Tracking number เป็นยันต์กันผีอยู่ / พูดง่ายๆว่า การที่มี Tracking number แบบอนาถานั้น มันเป็นผลดีกับคนขาย แต่เป็นผลร้ายกับลูกค้าอย่างเรา ) / คุณลูกค้าสามารถอ่านคำอธิบายเกี่ยวกับ เลข Tracking number แบบอนาถา นี้ ได้ที่ลิงค์ http://www.tuvagroup.com/ercs-001001D-561218-1214.html

       ถ้าคุณไม่อยากเจอสภาพแย่ๆ 3 ประการข้างบนนี้ คุณก็ต้องเลือกการส่งแบบ 33.94 เหรียญของ FedEx เอาครับ คือต้องยอมเสียเงินแพงๆเอา ถึงจะหนีสภาพแย่ๆ 3 ประการข้างบนนี้ได้



       ( ภาพบน ) ร้านขายสินค้าบางร้าน ก็บังคับว่าให้เลือกแบบ Free Shipping ได้อย่างเดียวเท่านั้น  เหมือนที่เห็นในภาพข้างบน  ซึ่งผลของการเลือกส่งด้วยวิธี Free Shipping นี้ ก็ได้ผลแย่ๆ 3 ประการ เหมือนกับที่ผมอธิบายไว้ก่อนหน้านี้เช่นกัน คือ ได้รับของช้า ,ไม่มีเลข Tracking number หรือถ้ามี Tracking number ก็เป็น Tracking number แบบอนาถา

       จากตัวอย่างในรูปข้างบนนี้ คุณลูกค้าอาจเห็นว่าไม่ยุติธรรม ที่บังคับให้เลือกแบบ Free Shipping อย่างเดียว เพราะคุณลูกค้าอาจจะอยากเลือกให้ส่งแบบ FedEx ก็ได้ / แต่ทำยังไงได้ล่ะครับ ในเมื่อคนขายเขากำหนดมาให้เลือกแบบ Free Shipping ได้อย่างเดียว  ดังนั้น ถ้าคุณลูกค้าอยากเลือกให้ส่งแบบ FedEx ก็ต้องลอง Search หาดูจากพ่อค้าคนอื่นๆ  / แต่ถ้าพ่อค้าคนอื่นๆ ไม่มีใครขายสินค้าชิ้นนี้เลย  คุณลูกค้าก็ต้องกลับมาเลือกทางเดินเอาใหม่ว่าจะซื้อสินค้านี้ จากพ่อค้าคนนี้  ( ซึ่งก็ต้องรับชะตากรรม กับการส่งแบบ Free Shipping ) หรือจะยกเลิกการซื้อไปก่อน  เผื่ออนาคต จะมีพ่อค้าคนอื่นเอาสินค้านี้ขาย และมีให้เลือกส่งแบบ FedEx ด้วย ( หวังน้ำบ่อหน้านั่นแหละ )



       ( ภาพบน ) ตัวเลือกวิธีส่งบางอันก็เป็นของลวงตาเหมือนกัน ยกตัวอย่างเช่นตัวเลือกตรงที่มี ขีดเส้นใต้สีเขียว ในรูปข้างบนนี้  คือมันดูดีไปหมด คือไม่ใช่ค่าส่งฟรี แต่ก็ไม่ใช่ค่าส่งที่แพงเป็น 10.99 เหรียญ เหมือนการส่งแบบ Express / แถมใช้เวลาในการส่งเท่ากันกับ Express ด้วย และมีเลข Tracking เหมือนกับ Express อีกต่างหาก / พอเห็นอย่างนี้แล้ว ลูกค้าก็ต้องเลือกการส่งแบบ Standard Shipping ตรงที่มี ขีดเส้นใต้สีเขียว ในรูปข้างบนนี้กันทั้งนั้น

       แต่ความจริงแล้ว ตรงตัวเลือก ขีดเส้นใต้สีเขียว ในรูปข้างบนนี้   ไอ้คำว่า "มีเลข Tracking เหมือนกับ Express" นั้น คือมันมีเลข Tracking ก็จริง แต่มันเป็นเลข Track แบบอนาถา คือใช้การอะไรไม่ได้ เหมือนที่ทีมงานอธิบายมา ก่อนหน้านี้ นั่นเองครับ

       ส่วนที่ว่าใช้เวลาในการส่ง 7 - 20 วันเท่ากันนั้น เวลามันส่งมาไทย มันไม่ได้ใช้เวลาแค่นั้นหรอกครับ มันยังมีตัวแปรอื่นด้วย อ่านเพิ่มเติมได้ที่ http://www.tuvagroup.com/samplecase001001b-5508120959.html

       ที่พูดมานี้ คือคำชี้แจงเฉยๆนะครับ ส่วนเวลาเลือกวิธีการส่งนั้น ก็แล้วแต่ทางคุณลูกค้าจะเลือกเอาครับ ไม่ได้บังคับตรงนี้ / คือถ้าเน้นเรื่องค่าส่งถูก หรือฟรี ก็ต้องทำใจกับผลที่จะตามมาน่ะครับ ซึ่งมันก็ไม่แน่ครับ  คืออาจจะได้รับของตามปกติ และไม่มีอะไรผิดพลาดก็ได้ครับ  เพราะเท่าที่ผ่านมา ลูกค้าที่เลือกแบบค่าส่งฟรี หรือค่าส่งแบบลวงตา ( คือถูกมาก แต่ไม่ถึงกับฟรี ) ก็ได้รับสินค้ากันถึง 99% / ก็ต้องมาลุ้นกันว่า คุณจะอยู่ใน 1% ที่พลาดหรือเปล่าน่ะครับ 

       มีของแถมนิดนึงครับ ให้ดูข้างล่างนี้ครับ




       ( ภาพบน ) อย่าคิดว่ามีแต่ "การส่งของจีน" ( China Post )  เท่านั้นนะครับที่เราเลือกการส่งแบบส่งฟรี หรือส่งแบบถูก ( 1 - 2 เหรียญ ) แล้วจะได้เลข Tracking number แบบอนาถา 

       เพราะว่า ถ้าขึ้นชื่อว่า การส่งแบบฟรี หรือการส่งแบบราคาถูก ( 1 - 2 เหรียญ ) เราก็มีโอกาสจะได้เลข Tracking number แบบอนาถา แม้ว่าจะมาจากบริษัทขนส่งชั้นนำจากอเมริกา ก็ตาม ที่เห็นได้ชัดก็คือบริษัท USPS ( ตามที่เห็นในรูปข้างบนนี้ ) / ลองอ่านเคสนี้เล่นๆดูนะครับ ( แล้วจะสยอง http://www.tuvagroup.com/ercs-001001V-580711-1714.html 




- END -